กทม. เปิดตัว "ร้านนี้ไม่เทรวม" เฟส 2 จับมือสยามพิวรรธน์ – LINE MAN Wongnai เพิ่มจำนวนร้านอาหารร่วมแยกขยะ รับผิดชอบต่อสังคม มุ่งลดปริมาณขยะ ลดงบประมาณรัฐอย่างยั่งยืน
(25 ก.พ. 68) นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม” เฟส 2 พร้อมรับมอบผ้ากันเปื้อนและสติกเกอร์โครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม” จำนวน 4000 ชิ้น จากนางสาวพิชญาภา พฤตธนานนท์ รองประธานฝ่ายธุรกิจร้านอาหาร LINE MAN Wongnai ณ สุราลัยฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เขตคลองสาน โดย นางสาวนราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงาน ปฏิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด นายอนนต์ อัตถวิบูลย์ ผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ผู้บริหารสำนักงานเขตคลองสาน ผู้แทนภาคีเครือข่าย และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงานแถลงข่าว

ที่ปรึกษาฯ พรพรหม กล่าวว่า ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญ ต้องสร้างความไว้ใจให้ประชาชนในการจัดเก็บขยะเมื่อประชาชนมีการคัดแยกขยะ กรุงเทพมหานคร (กทม.) วางแผนยุทธศาสตร์ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดการขยะแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เล็ก (S) กลาง (M) ใหญ่ (L) โดย L จะเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ อาคารสำนักงาน โรงเรียน ศาสนสถาน วัด เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 22 แหล่งกำเนิด หากใครพร้อมสำนักงานเขตก็จะเข้าไปให้ความรู้และช่วยส่งเสริมการดำเนินการ ในส่วนของ L ได้ทำไปค่อนข้างเยอะแล้ว ก่อนที่จะเกิดโควิด 19 ขยะประมาณ 1,100 ตันต่อวัน ปัจจุบันปริมาณขยะอยู่ที่ประมาณ 9 พันกว่าตันต่อวัน สามารถลดขยะได้เกือบ 2 พันตันต่อวัน
สำหรับ M จะเป็นร้านอาหารที่ไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้า จะมีความท้าทายมากขึ้น เพราะ กทม. จะต้องไปรวบรวมขยะแล้วนำไปกำจัดที่เดียว จึงได้มีการจัดทำโครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม” เปิดให้ร้านสมัครใจเข้าร่วมโครงการ มีการคัดแยกขยะ ซึ่งทางร้านจะมีการแจ้งพิกัดให้สำนักงานเขตทราบเพื่อสะดวกในการเข้าไปจัดเก็บขยะ รวมถึง LINE MAN Wongnai ได้สนับสนุนอุปกรณ์ในการคัดแยกขยะ รวมถึงมีเว็บไซต์ https://greener.bangkok.go.th ให้ร้านอาหารแสดงตัวในเว็บไซต์ได้ด้วยเพื่อเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์อีกทางหนึ่ง ซึ่ง กทม. ตั้งเป้าให้มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการ 2,500 ร้าน ตกเขตละ 50 ร้าน
ส่วน S คือ ประชาชนทั่วไป เป็นส่วนที่ยากที่สุด ซึ่งก่อนหน้าที่ กทม. มีการขอความร่วมมือในการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง แต่ว่ามีประชาชนบางส่วนที่ทำ และคนกลุ่มใหญ่อาจไม่ได้ทำ ซึ่งคิดว่าอาจจะเพราะขาดเชื่อมั่นใน กทม. จะทำได้จริง แยกไปเดี๋ยวก็มารวมกัน จึงได้มีกลไกเรื่องค่าธรรมเนียม ที่มีการเพิ่มมิติในเรื่องที่หากมีการคัดแยกขยะก่อนทิ้งสามารถลดหย่อนค่าจัดเก็บขยะได้ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถลดหย่อนค่าธรรมเนียมจัดเก็บขยะจาก 60 บาท เป็น 20 บาทได้ โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการทางคิวอาร์โค้ดได้ด้วยตนเอง นอกจาก กทม. ได้แสดงถึงความจริงจังในการดำเนินการโดยจะมีการจัดรถเก็บขยะเศษอาหารตามบ้านเรือนสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สนับสนุนถุงขยะ เป็นต้น ซึ่ง กทม. ได้ดำเนินการในทุกกลุ่มแล้ว ขอให้ทุกคนแสดงพลังในการคัดแยกขยะ ช่วยกันส่งเสริมสิ่งแวดล้อมของเมือง เพราะทุกคนสามารถร่วมมือกันในการเปลี่ยนเมืองตามสโลแกน “เริ่มที่คุณ เปลี่ยนทั้งเมือง” ได้
โอกาสนี้ นางสาวนราทิพย์ กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างกรุงเทพมหานครและสยามพิวรรธน์ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมของสยามพิวรรธน์ ที่ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่ “องค์กรขยะเป็นศูนย์” โดยได้ยกระดับโครงการคัดแยกขยะเศษอาหาร ขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการร้านอาหารภายในศูนย์การค้าเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นต่อจากเฟสแรก ทั้งนี้ รู้สึกภูมิใจที่สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และไอซีเอส ได้นำร่องเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศไทยที่ส่งเสริมการคัดแยกขยะภายในร้านอาหารอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม เฟส 2” ของกรุงเทพมหานคร สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของผู้ประกอบการที่ใส่ใจและรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการคัดแยกขยะเศษอาหารออกจากขยะประเภทอื่น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสูงสุด และนำขยะไปจัดการได้อย่างเหมาะสม ช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการมุ่งสู่ “เมืองขยะเป็นศูนย์” (Zero Waste City) ของกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้เผชิญกับปริมาณขยะมูลฝอยที่สูงถึง เกือบ 9,000 ตันต่อวัน โดยในจำนวนนี้ มากกว่า 50% เป็นขยะอินทรีย์และเศษอาหาร ซึ่งปัญหาหลักของระบบจัดการขยะในปัจจุบันคือ การปนเปื้อนของเศษอาหารกับขยะประเภทอื่น โดยเฉพาะขยะรีไซเคิล ทำให้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ต้องสูญเปล่าและกลายเป็นขยะฝังกลบ
ในปี 2566 กรุงเทพมหานครจึงได้จัดทำโครงการ “ไม่เทรวม” มุ่งเน้นให้ประชาชนและภาคธุรกิจร่วมกันแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะทั่วไป ลดการปนเปื้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะ โดยโครงการนี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้กรุงเทพมหานครสามารถลดปริมาณขยะได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดงบประมาณในการกำจัดขยะได้มากกว่า 200 ล้านบาทแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
เพื่อขยายผลการจัดการขยะให้ครอบคลุมมากขึ้น จึงได้มุ่งเน้นการร่วมมือกับธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดขยะจำนวนมหาศาล ทั้งจากกระบวนการประกอบอาหาร (ขยะหลังครัว) และขยะที่เกิดจากการบริโภค (ขยะหลังการกิน) โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีร้านอาหารมากกว่า 200,000 แห่ง หากธุรกิจเหล่านี้สามารถแยกขยะตั้งแต่ต้นทางได้อย่างถูกต้อง ก็จะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ อีกทั้งยังจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่ระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวด้วย
ภายใต้แนวคิดนี้ กรุงเทพมหานครจึงได้จัดทำโครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม” เพื่อขยายความร่วมมือกับธุรกิจร้านอาหาร ตลอดจนจัดทำระบบบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการเพื่อยกระดับแนวทางปฏิบัติให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่รายชื่อร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ https://greener.bangkok.go.th เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้ประชาชนเลือกอุดหนุนร้านอาหารที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของการจัดทำบัญชีรายชื่อร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ “ร้านนี้ไม่เทรวม” มีเป้าหมายเพื่อรวบรวมข้อมูลและคาดการณ์ปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจากร้านอาหารในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบเส้นทางการเก็บขยะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งข้อมูลที่ได้ยังสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนช่วยปรับปรุงและบริหารงบประมาณในการจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ โครงการร้านนี้ไม่เทรวมยังสอดรับกับมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่จะเริ่มใช้ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งกรุงเทพมหานครได้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามประเภทของผู้ก่อขยะ ดังนี้
- กลุ่มที่ 1 บ้านเรือนที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หรือไม่เกิน 4 กิโลกรัม/วัน จะมีค่าธรรมเนียมรวม 60 บาท/เดือน ประกอบด้วย ค่าเก็บและขนส่ง 30 บาท/เดือน และค่ากำจัด 30 บาท/เดือน
- กลุ่มที่ 2 ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อที่มีขยะ เกิน 20 ลิตร/วัน แต่ไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตร/วัน หรือเกิน 4 กิโลกรัม/วัน แต่ไม่เกิน 200 กิโลกรัม/วัน จะมีค่าธรรมเนียมรวม 120 บาท/20 ลิตร ประกอบด้วย ค่าเก็บและขนส่ง 60 บาท/20 ลิตร และค่ากำจัด 60 บาท/20 ลิตร
- กลุ่มที่ 3 ห้างสรรพสินค้า ตลาด โรงแรม และสถานประกอบการที่มีขยะเกิน 1 ลูกบาศก์เมตร/วัน หรือเกิน 1,000 ลิตร/วัน หรือเกิน 200 กิโลกรัม/วัน จะมีค่าธรรมเนียมรวม 8,000 บาท/ลูกบาศก์เมตร ประกอบด้วย ค่าเก็บและขนส่ง 3,250 บาท/ลูกบาศก์เมตร และค่ากำจัด 4,750 บาท/ลูกบาศก์เมตร
สำหรับมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะอัตราใหม่ของกรุงเทพมหานครนี้ จะช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีระบบการแยกขยะชัดเจน สามารถลดต้นทุนด้านค่าธรรมเนียมการกำจัดขยะได้หากแยกขยะอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ทั้งนี้ ร้านอาหารที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสมัครร่วมโครงการได้ที่ https://greener.bangkok.go.th/ran-mai-te-ruam/
——————————- (พัทธนันท์…สปส. รายงาน)
Source : https://pr-bangkok.com/?p=469875
คุณเห็นด้วยกับข่าวนี้หรือไม่
ความคิดเห็น